ทำไมลังกระจายสินค้า ถึงช่วยลดความเสียหายระหว่างขนส่งได้มากกว่า 27%?

ทำไมลังกระจายสินค้า ถึงช่วยลดความเสียหายระหว่างขนส่งได้มากกว่า 27%?

เข้าใจหลักคิดแบบซัพพลายเชนสมัยใหม่ ว่าทำไม ลังกระจายสินค้า ถึงเป็นมากกว่าลังพลาสติกธรรมดา แต่คือตัวช่วยลดความเสียหาย สามารถช่วยลดต้นทุน และปกป้องแบรนด์ได้ในระยะยาว วันนี้เราจะมาหาคำตอบในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับหลายบริษัทที่เป็นลักษณะโรงงาน หรือที่ต้องใช้ลังส่งสินค้าเป็นประจำ

ในโลกจริงของโลจิสติกส์ สินค้าที่เสียหายระหว่างขนส่ง ไม่ได้จบแค่ “ของพัง 1 ชิ้น” แล้วทิ้งไปเฉยๆ แต่เป็นปัญหาที่ลากยาว ทั้งต้นทุนขนส่งซ้ำ ค่าแรงหยิบเปลี่ยนสินค้า ค่าเคลมประกัน ภาระงานของทีมบริการลูกค้า ไปจนถึงความรู้สึกของลูกค้าที่เริ่มไม่มั่นใจในแบรนด์อีกต่อไป การลดความเสียหายลงได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ จึงมีมูลค่ามหาศาลเมื่อมองทั้งระบบงานวิจัยระดับนานาชาติยืนยันตรงกันว่า การเปลี่ยนจากบรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียว เช่น กล่องกระดาษลูกฟูก ไปใช้ ลังกระจายสินค้าแบบหมุนเวียน หรือที่เรียกว่า Reusable Distribution Totes / Returnable Transport Packaging: RTP) สามารถลดความเสียหายได้เกินกว่าเกณฑ์ 27% ที่คนในวงการมักใช้เป็นตัวเลขอ้างอิงแบบ “กันเหนียว” และในบางกรณี โดยเฉพาะสินค้าอย่าง ผัก–ผลไม้สด ตัวเลขที่พบสูงสุดถึงระดับลดความเสียหายได้มากกว่า 90% เลยทีเดียวคำถามสำคัญคือ มันลดได้ยังไง? แค่เปลี่ยนกล่องเป็นลังทำไมตัวเลขถึงต่างกันมากขนาดนั้น บทความนี้ชวนมาดูแบบเป็นเหตุเป็นผล ทั้งมุมวิศวกรรม โครงสร้างลัง มุมการเงิน และมุมกลยุทธ์ซัพพลายเชน ว่าทำไมลังกระจายสินค้าถึงกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของคลังสมัยใหม่และเครือข่ายกระจายสินค้ารายใหญ่ทั่วโลก

ลังกระจายสินค้า (RTP) คืออะไร? ไม่ใช่แค่ลังพลาสติกธรรมดา

ลังกระจายสินค้าแบบหมุนเวียน ที่มีทั้งแบบรุ่นใหม่และรูปแบบเดิม หรือที่เรียกว่า RTP คือบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ใช้ซ้ำได้หลายรอบในระบบซัพพลายเชนเดียวกัน มักอยู่ในรูปแบบ Attached-Lid Container (ALC) หรือลังที่มีฝาบานพับติดตัว สามารถปิดฝาแล้วซ้อนกันได้อย่างมั่นคง และเมื่อว่าง ก็เปิดฝาแล้วซ้อนแบบสลับ (nesting) เพื่อลดพื้นที่ย้อนกลับในขนส่งขาเปล่า

จุดสำคัญคือ ALC / RTP ไม่ใช่ลังพลาสติกราคาถูกทั่วไป แต่ถูกออกแบบเป็น “อุปกรณ์โลจิสติกส์” เต็มตัว ทั้งวัสดุที่ใช้ ความหนาของผนัง จุดเสริมแรง โครงสร้างก้นลัง ระบบฝาปิด และสัดส่วนขนาดที่จับคู่กับพาเลท รถบรรทุก และระบบชั้นวาง ในคลังอัตโนมัติ ทำให้มันกลายเป็นฟันเฟืองหนึ่งในระบบ Material Handling ไม่ใช่แค่ภาชนะใส่ของ

ตัวเลขมากกว่า 27% มาจากไหน? และทำไมบางเคสลดได้ถึง 98%

ในงานวิจัยด้านบรรจุภัณฑ์และซัพพลายเชน มีการใช้ตัวเลข “ลดความเสียหายมากกว่า 27%” เป็นเกณฑ์อ้างอิงแบบต่ำที่สุด แต่สำหรับการเปลี่ยนจากกล่องใช้แล้วทิ้งมาใช้ RTP ในสายการกระจายสินค้าที่หลากหลาย แต่เมื่อดูงานวิจัยเชิงลึก เช่น การศึกษาของ Fraunhofer Institute for Material Flow and Logistics (IML) ในเยอรมนี ที่ตรวจสอบหน่วยบรรจุภัณฑ์มากกว่า 60,000 หน่วย ในคลังและร้านค้าปลีก พบว่าถ้าเปลี่ยนไปใช้ลังหมุนเวียนสำหรับสินค้าอย่างผักและผลไม้สด สามารถลดความเสียหายได้สูงสุดถึงประมาณ 98% เลยทีเดียว ทำไมกระดาษลูกฟูกถึงเสียหายง่าย? สาเหตุหลักคือ โครงสร้างไม่เสถียรเมื่อเจอความชื้น แรงกดซ้อนหลายชั้น และแรงกระแทก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อถึงเวลาเรียงกล่องสูง ๆ ในคลังหรือบนพาเลท สักจุดหนึ่งที่โครงสร้างเริ่มยุบ ก็จะลากทั้งคอลัมน์ให้เอียง แตก หรือถล่ม สินค้าข้างในจึงรับแรงกระแทกเต็ม ๆ ต่างจากลังพลาสติก HDPE หนา ๆ ที่ออกแบบมาให้แรงถูกถ่ายผ่าน “ตัวลัง” แทนที่จะลงมาที่สินค้า ดังนั้น การบอกว่า “ลังกระจายสินค้าช่วยลดความเสียหายได้มากกว่า 27%” จึงเป็นตัวเลขที่ปลอดภัยขั้นต่ำ แต่ในทางเทคนิค ถ้าระบบถูกออกแบบดี ใช้ลังที่เหมาะสมกับสินค้า และควบคุมกระบวนการขนส่งได้ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านั้นมาก ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและเส้นทางโลจิสติกส์ที่ใช้

วิศวกรรมที่ซ่อนอยู่หลังลังกระจายสินค้า: เสียหายน้อยกว่าด้วยหลักฟิสิกส์ล้วน ๆ

1) วัสดุ HDPE หนา ทนกระแทก ทนความชื้น ทนอุณหภูมิ

ลังกระจายสินค้ามาตรฐานอุตสาหกรรมมักผลิตจาก High-Density Polyethylene (HDPE) ผ่านกระบวนการฉีดขึ้นรูปแบบ heavy-duty วัสดุชนิดนี้มีความแข็งแรงเชิงโครงสร้างสูง ทนแรงกระแทก ทนสารเคมี และไม่เสื่อมสภาพง่ายเมื่อเจอความชื้น หรืออุณหภูมิแกว่งตั้งแต่เย็นจัดไปจนถึงร้อนอบในรถขนส่งที่จอดกลางแดด ซึ่งตรงข้ามกับกระดาษลูกฟูกที่ “แพ้ความชื้น” และความร้อนเป็นทุนเดิม ทำให้ค่าความแข็งในการรับแรงกดแปรผันสูงและคาดเดายาก

2) โครงสร้างซ้อนที่ถ่ายแรงผ่าน “ตัวลัง” ไม่ใช่ผ่านสินค้า

จุดเด่นของ RTP คือ การออกแบบโครงสร้างให้รับน้ำหนักผ่านพื้นผิวและมุมของลัง ไม่ใช่ให้กล่องรับแรงผ่านสินค้า การซ้อนลังที่ดี ทำให้แรงกดแนวดิ่งจากลังชั้นบน ถูกส่งผ่านลงมาที่ตัวโครงสร้างของลังโดยตรง ต่างจากกล่องกระดาษที่เมื่อโครงสร้างข้างนอกเริ่มยุบ น้ำหนักจะถ่ายเข้าไปที่สินค้าด้านในแบบเลี่ยงไม่ได้ สินค้าที่เปราะบางจึงช้ำ แตก หรือเสียรูป นอกจากนี้ ลัง RTP ยังออกแบบให้ขนาดภายนอกสม่ำเสมอ เข้ากับพาเลทและชั้นวางอัตโนมัติ (ASRS) ได้ดี ลดโอกาสคอลัมน์เอียง ลดความเสี่ยงการ “stack failure” และลดโอกาสการติดขัดในระบบสายพานลำเลียงที่มีต้นทุน downtime สูง

3) ฝาปิดแบบบานพับและซีลนิรภัย ป้องกันทั้งฝุ่น ความชื้น และการงัดแงะ

ฝาแบบ Attached Lid ที่ออกแบบให้ล็อกประสานกัน (interlocking) ช่วยลดการเปิดปิดโดยไม่ตั้งใจ ป้องกันฝุ่น ความชื้น และแรงกระแทกจากด้านบน หลายรุ่นมีรูสำหรับใส่สายรัดพลาสติกหรือซีลที่เห็นร่องรอยการงัดแงะได้ ทำให้ ควบคุมการหดตัวของสินค้า (shrinkage) และการโจรกรรมระหว่างทางได้ดีกว่ากล่องทั่วไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ความเสียหาย” ในมุมมองการเงินเหมือนกัน

4) ป้องกันแรงสั่นสะเทือนและการกระแทกต่อเนื่องระหว่างเดินทาง

ความเสียหายจำนวนมากไม่ได้มาจากการตกหล่นครั้งเดียว แต่มาจากแรงสั่นสะเทือนยาว ๆ ระหว่างเดินทาง รถบรรทุกที่วิ่งบนถนนไม่เรียบ หรือคอนเทนเนอร์ที่โดนคลื่น ทำให้สินค้า “กระดอน” อยู่ในกล่องตลอดเวลา ถ้าโครงสร้างกล่องยวบ หรือภายในไม่ถูกค้ำยันดีพอ แรงสะสมเหล่านี้จะกลายเป็นรอยช้ำ แตก หรือบิ่นแม้ภายนอกกล่องดูปกติ ลัง RTP ที่มีรูปทรงและคุณสมบัติวัสดุสม่ำเสมอ ทำให้นักวิศวกรสามารถออกแบบการค้ำยันภายใน (blocking & bracing) และวัสดุดูดซับแรงได้แม่นยำกว่า พูดง่าย ๆ คือ “ออกแบบให้รู้ว่าลังจะขยับยังไงเมื่อรถสั่น” แล้วจัดการให้สินค้าไม่เต้นตามลัง นั่นคือที่มาของการลดความเสียหายเชิงจลนศาสตร์ในระดับที่กล่องธรรมดาทำได้ยาก

เปรียบเทียบง่าย ๆ: กล่องใช้ครั้งเดียว vs ลังกระจายสินค้าแบบหมุนเวียน

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น ลองดูตารางเปรียบเทียบระหว่างบรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียว (เช่น กล่องกระดาษลูกฟูก) กับลังกระจายสินค้า RTP ในมุมที่เกี่ยวข้องกับ “ความเสียหาย” โดยตรง:
ประเด็นเปรียบเทียบ บรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียว (กล่องกระดาษลูกฟูก) ลังกระจายสินค้าแบบหมุนเวียน (RTP / ALC)
ความทนทานต่อแรงกดและการซ้อน โครงสร้างอ่อนตัวเมื่อเจอความชื้นหรือถูกซ้อนหลายชั้น เสี่ยงยุบคอลัมน์ โครงสร้างแข็งแรง รับแรงผ่านผนังและมุมลัง ซ้อนสูงได้เสถียรกว่า
ความไวต่อความชื้นและอุณหภูมิ แพ้ความชื้นอย่างชัดเจน โครงสร้างเสื่อมเร็วเมื่อเจอสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ใช้ HDPE ทนความชื้น อุณหภูมิ และสภาพแวดล้อมในคลัง/รถขนส่งได้ดี
การปกป้องสินค้าเปราะบาง เมื่อกล่องเสียรูป แรงจะถ่ายเข้าไปที่สินค้าโดยตรง ออกแบบให้แรงผ่านตัวลัง สามารถใส่การค้ำยันเสริมภายในได้มีประสิทธิภาพ
ความเข้ากันได้กับระบบอัตโนมัติ (ASRS / Conveyor) ขนาดและความแข็งไม่สม่ำเสมอ เสี่ยงติดขัดหรือเอียง ขนาดมาตรฐาน แข็งแรง เหมาะกับคลังอัตโนมัติและระบบคัดแยกความเร็วสูง
ความเสียหายโดยรวมในสายกระจายสินค้า อัตราแตกหัก/ชำรุดสูงกว่า โดยเฉพาะสินค้าอาหารสดและสินค้าราคาแพง งานวิจัยรายงานการลดความเสียหายมากกว่า 27% และบางเคสสูงถึงราว 98%
ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) ต้นทุนต่อกล่องต่ำ แต่ต้องซื้อซ้ำตลอด และมีต้นทุนขยะ/กำจัด ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า แต่ใช้ซ้ำได้หลายปี ต้นทุนต่อรอบต่ำ และรีไซเคิลได้เมื่อหมดอายุ

ด้านการลงทุน: ลดความเสียหาย = ลดต้นทุนแฝง และปกป้องสินค้าของลูกค้าได้ดี

ตัวเลข “ของพังในกล่อง” ที่เห็นในรายงานสต็อก อาจเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แต่ต้นทุนจริงที่ตามมาคือค่าขนส่งรอบใหม่ ค่าแรงของทีมคลัง ทีมแพ็ก ทีมเคลมสินค้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเคสกับลูกค้า ปัญหาที่หนักที่สุดคือ หลายงานวิจัยพบว่า ลูกค้าประมาณ 70%–กว่า ๆ จะไม่อยากกลับมาซื้อซ้ำ หากได้รับสินค้าที่เสียหาย นั่นคือการเสีย Customer Lifetime Value แบบเงียบๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใคร หรือบริษัทไหนๆ อยากให้เกิด เมื่อใช้ RTP แล้วอัตราความเสียหายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือ:
  • ค่าใช้จ่ายในการส่งของซ้ำและเคลมลดลง
  • ภาระงานของคลังและบริการลูกค้าลดลง ทำให้ใช้ทรัพยากรไปทำงานที่สร้างมูลค่าได้มากขึ้น
  • ประวัติความเสียหายต่ำ ช่วยให้ต่อรองเบี้ยประกันได้ดีขึ้นในระยะยาว
  • รักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าและภาพลักษณ์แบรนด์ในสายตาผู้รับสินค้า
เมื่อเอาต้นทุนเหล่านี้เข้าไปอยู่ในโมเดล Total Cost of Ownership (TCO) ภาพจะชัดว่า ลังราคาถูกที่ซื้อแล้วทิ้งบ่อย ๆ อาจไม่ได้ถูกอย่างที่คิด ในขณะที่ RTP แม้ราคาต่อใบสูงกว่า แต่เมื่อหารออกเป็นต้นทุนต่อการใช้งานหลายสิบ–หลายร้อยรอบ แล้วรวมกับการลดความเสียหาย ตัวเลขมักจะพลิกมาอยู่ฝั่งคุ้มกว่าอย่างชัดเจน

สรุป: ถ้าเป้าหมายคือสินค้าน้อยเสียหาย ระบบต้องเริ่มที่ “ลัง”

ความเสียหายระหว่างขนส่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากการเลือกวัสดุ ออกแบบโครงสร้างลัง วิธีซ้อน วิธีบรรทุก และการจัดการแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดรวมกัน ลังกระจายสินค้าแบบหมุนเวียน (RTP) หรือ ลังกระจายสินค้า ราคาดี แก้โจทย์นี้ด้วยการยกระดับบรรจุภัณฑ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบโลจิสติกส์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “กล่องใส่ของ” สำหรับองค์กรที่เริ่มมองภาพรวมซัพพลายเชน ทั้งคุณภาพสินค้า ประสบการณ์ลูกค้า ต้นทุนแฝง และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนจากกล่องใช้ครั้งเดียวไปสู่ลังกระจายสินค้าที่ออกแบบดี จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนภาชนะ แต่เป็นการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานของระบบกระจายสินค้าทั้งระบบ และเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวเลขการลดความเสียหาย “มากกว่า 27%” ถึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง แต่เป็นสิ่งที่งานวิจัยและเคสจริงในอุตสาหกรรมยืนยันมาแล้วซ้ำ ๆ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ตัวเลขและแนวคิดในบทความนี้อ้างอิงจากงานวิจัยและบทความด้านบรรจุภัณฑ์หมุนเวียนและ TCO ในซัพพลายเชนจากหลายองค์กร เช่น Fraunhofer IML, Reusable Packaging Association และผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในต่างประเทศ:

เลือกลังกระจายสินค้าให้ถูกต้อง ตามสี

CBL 230 — สีเขียวอ่อน
งานเกษตร/ร้านผักผลไม้ มองสีแล้วรู้ทันทีว่าเป็นโซน “ของสด”
สั่งซื้อสีเขียวอ่อน
CBL 230 S — สีแดง
แยกงานเร่งด่วน/สินค้าอ่อนไหว ให้ทีมเห็นเด่นชัด
สั่งซื้อสีแดง
CBL 230 S — สีเหลือง
หมวดวัตถุดิบแห้ง/อุปกรณ์ ใช้สีช่วยกันสับสน
สั่งซื้อสีเหลือง
CBL 230 — สีดำ
งานคลัง/อุตสาหกรรม ดูแลรักษาง่าย คราบไม่เด่น
สั่งซื้อสีดำ
CBL 230 S — สีม่วง
สีเฉพาะกิจ แยกสินค้าพิเศษ/โซน QC ให้เด่นชัด
สั่งซื้อสีม่วง
CBL 230 — สีน้ำเงิน
เหมาะกับโซนแช่เย็น/สินค้าอุณหภูมิควบคุม แยกสีชัดเจน
สั่งซื้อสีน้ำเงิน

ช่วยประหยัดพื้นที่

ฐานมาตรฐาน + ซ้อนนิ่ง = ความหนาแน่นต่อชั้นสูงขึ้น และ แพ็กเต็มพาเลทได้จริง ทั้งบนรถและในคลัง ลดเที่ยววิ่งขากลับที่เปลืองพื้นที่ “ลังเปล่า” และทำให้โซนรับ-จ่ายของโล่งขึ้น เห็นประโยชน์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เริ่มใช้

พร้อมอัปเกรดพื้นที่ของการขนส่งแล้วหรือยัง? เลือกสี เลือกรุ่น แล้วเริ่มจัดระเบียบการขนส่ง/คลัง ให้ “พื้นที่” กลับมาทำเงินให้มากขึ้นประหยัดต้นทุนกว่าเดิมแน่นอน

อ่านต่อเรื่องน่ารู้ในศรีไทย ซุปเปอร์แวร์

รวมลิงก์บทความจากเว็บไซต์ทางการ Srithai Superware สำหรับศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

 

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสาร