กล่องใส่อาหารพลาสติก - ร้านอาหารต้องใช้เท่าไหร่ เปิดวิธีคำนวณให้คุ้มสุด

สำหรับร้านอาหารที่ใช้ กล่องใส่อาหารพลาสติก แบบใช้แล้วทิ้ง ในการใส่อาหาร ไม่ว่าจะเป็นกับข้าว ข้าวราด ผัก น้ำจิ้ม ฯลฯ และการคำนวณจำนวนที่ต้องการจะเน้นไปที่ ปริมาณการขาย เป็นหลัก เพราะในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ คงไม่มีร้านอาหารไหนที่อยากจะสต๊อกภาชนะประเภทกล่องใส่อาหารเป็นจำนวนมาก แต่ครั้นจะไม่เก็บสต็อกกล่องเอาไว้ ก็ต้องพิจารณาเวลาในการสั่งกล่อง เพื่อเผื่อเวลาในการสั่งซื้อ วันนี้เราจะมาดูการคำนวณ ปริมาณในการซื้อกล่อง และ ระยะเวลาในการสั่งกัน

4 ปัจจัยหลักในการ คำนวณจำนวนกล่องใส่อาหารพลาสติก ที่ต้องใช้ในร้าน

ประเภทกล่อง* ขนาดโดยประมาณ (มิลลิลิตร) การใช้งานแนะนำ ลักษณะฝา
กล่องข้าว 1 ช่อง 750 – 1,000 ml อาหารจานเดียว เช่น ข้าวกะเพรา, ข้าวผัด ฝาใส Snap-on หรือ Seal ได้
กล่องข้าว 2 ช่อง 1,000 – 1,200 ml ข้าว + กับข้าว เช่น ข้าวไข่เจียว + แกง ฝาใสแยกช่อง
กล่องข้าว 3 ช่อง 1,200 – 1,400 ml ข้าว + กับข้าว 2 อย่าง หรือเมนูเบนโตะ ฝาแยก 3 ช่องชัดเจน
กล่องใส่แกง / ซุป (ทรงกลม) 500 – 750 ml แกงจืด, ต้มยำ, ซุป ฝาปิดแน่น ป้องกันหก
กล่องใส่น้ำจิ้ม 30 – 60 ml น้ำจิ้มไก่, น้ำจิ้มซีฟู้ด, น้ำปลา ฝาเกลียวหรือฝา Snap-on
กล่องของหวาน/ผลไม้ 250 – 500 ml เฉาก๊วย, ทับทิมกรอบ, ผลไม้หั่น ฝาใส ซีลได้
กล่องทรงเหลี่ยมฝาโดม 1,000 – 1,200 ml สลัดผัก, ยำ, ของทอด ฝาโดมสูง เหมาะกับอาหารชิ้นใหญ่

*ประเภทกล่องอาจแตกต่างกันไปในแต่ละผู้ผลิต โดยส่วนใหญ่แล้วร้านค้าเปิดใหม่อาจมีการสต็อกกล่องเอาไว้จำนวนหนึ่งก่อน และดูปริมาณยอดขาย และยอดการใช้กล่องในแต่ละวัน จึงจะมีตัวเลขในการคำนวณได้ แต่สำหรับร้านค้าที่เปิดมาพักหนึ่งแล้ว จะมีตัวเลขยอดขายและยอดใช้งานกล่องอยู่โดยอาศัย 4 ปัจจัยดังนี้

วิเคราะห์จากยอดขาย และประเภทเมนู ที่ใช้กล่อง

จดรายการเมนูทั้งหมดที่คุณขายโดยใช้กล่องพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (เช่น ข้าวกล่อง, ก๋วยเตี๋ยว, สลัด, กับข้าวถุง, ซุป) รวมถึง ยอดขายเฉลี่ยต่อวันปกติ โดยเฉพาะวันทำงานธรรมดา หรือวันที่ไม่ได้มีโปรโมชั่นพิเศษ และที่ลืมไม่ได้เลย คือ ยอดขายสูงสุดต่อวัน (หรือที่เรียกว่า Peak Day) โดยมักจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันที่จัดโปรโมชั่น หรือช่วงเวลาที่มีลูกค้าเยอะที่สุด (เช่น มื้อกลางวัน หรือมื้อเย็น) ใช้ตัวเลขนี้ในการคำนวณขั้นต่ำที่ต้องมีสต็อก

แยกประเภทกล่องใส่อาหารพลาสติก 

ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารมักมีกล่องอาหารจานเดียว สำหรับใส่ข้าวผัด ข้ากระเพรา กล่องพลาสติกสองช่อง โดยมักเป็นขนาดมาตรฐาน 600-1000 ml ขึ้นอยู่กับปริมาณ กล่องรูปทรงกลม สำหรับใส่แกง หรือ กับข้าว อาจมีหลายขนาดเช่น เล็ก กลางใหญ่ และต้องไม่ลืมกล่องขนาดเล็ก สำหรับใส่น้ำจิ้ม น้ำซุป เครื่องเคียง ขนาด 50-100 ml และกล่องใส่เครื่องดื่ม หรือของหวาน โดยอาจมีเลือกกล่องพลาสติกแบบ PP ที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้ และกล่องที่มีฝาในตัวหรือแยกฝา

ประเมินสต็อกขั้นต่ำที่ต้องมี 

โดยต้องประเมินจากวันที่มียอดขายสูงสุด และมีจำนวนออเดอร์สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น

  • ตัวอย่าง: วันเสาร์ขายข้าวกล่อง 120 กล่อง, แกง 50 กล่อง (ใช้กล่อง L), น้ำจิ้ม 30 กล่อง (ใช้กล่องเล็ก)
  • ดังนั้น ร้านค้าควรต้องมีกล่องข้าวกล่องอย่างน้อย 120 ใบ, กล่อง L 50 ใบ, กล่องเล็ก 30 ใบ สำหรับวันเดียว

อย่างไรก็ดีเพื่อความไม่สะดุดทางการขาย ควรเพิ่มสต็อกฉุกเฉินไปอีก 10%-20% ของยอดขายสูงสุดต่อวัน เพื่อป้องกันกล่องเสียหาย (defect) หรืออาจมีบางวันที่ยอดขายพุ่งมากกว่าเดิม

กำหนดระยะเวลาสั่งสต็อกกล่องพลาสติก

ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับทางร้านอาหารว่ามีระบบการจัดซื้ออย่างไร ต้องการสั่งซื้อบ่อยแค่ไหน โดยจะนับเป็นสัปดาห์หรือเดือน ยกตัวอย่างเช่น ต้องการให้มีกล่องใช้ยาวครึ่งเดือน หรือ 2 สัปดาห์ ก็ต้องคูณสต็อกไปอีก 14-15 วัน โดยการเอา จำนวนกล่องที่ใช้มาคูณ จะกลายเป็นจำนวนกล่องขั้นต่ำที่ควรมีติดร้านไว้ แต่ละสาขา

ประเภทกล่อง ยอดขายต่อวัน (ใบ) จำนวนวัน (14 วัน) รวมก่อนเผื่อ บวกเผื่อ 15% จำนวนแนะนำให้สั่ง (ปัดเศษ)
กล่องข้าวกล่อง (ขนาดมาตรฐาน) 150 14 2,100 2,415 2,500
กล่องแกง (ขนาด L) 60 14 840 966 1,000
กล่องน้ำจิ้ม (ขนาดเล็ก) 100 14 1,400 1,610 1,600

การคำนวณนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละร้านค้า ขึ้นอยู่กับประเภทกล่องที่ใช้ จำนวนออเดอร์สูงสุด และหลักการในการจัดซื้อกล่องในแต่ละเดือน รวมถึงงบประมาณในการสั่งซื้อด้วย

ควรสั่งกล่องอาหารตอนไหน ถ้ากลัวของไม่พอขาย หรือ ฉุกเฉิน

ในเรื่องนี้จะเกี่ยวเนื่องกับ Lead Time (ระยะเวลาตั้งแต่การสั่งกล่อง ชำระเงิน ไปจนถึงการขนส่งถึงร้านค้า) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่ามีกล่องเพียงพอ และไม่ขาดตอน โดยร้านอาหารขนาดใหญ่มักใช้ เทคนิคที่เรียกว่า Reorder Point และ Safety Stock ในการบริหารการจัดการ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีคำนวณที่มักใช้กัน

ปัจจัย ค่าที่ใช้ (สมมุติ) คำอธิบาย
ADU (ใช้งานเฉลี่ยต่อวัน) 100 กล่อง ขายข้าวกล่องเฉลี่ย 100 กล่องต่อวัน
LT (เวลาขนส่ง) 3 วัน ซัพพลายเออร์จัดส่งภายใน 3 วัน
SS (สต็อกสำรอง) 200 กล่อง สำรองไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน 2 วัน
ROP (จุดสั่งซื้อซ้ำ) 500 กล่อง ROP = (100 x 3) + 200 = 500 กล่อง
OQ (ปริมาณที่ควรสั่ง) 1,500 - 2,000 กล่อง เพื่อให้เพียงพอใช้งานต่อไป 14-20 วัน

สรุปคือ จะต้องสั่งซื้อกล่องเพิ่มเมื่อสต็อกของคุณลดลงมาเหลือเท่ากับ "ยอดใช้ระหว่างรอของ" บวกกับ "กล่องสำรองฉุกเฉิน" เช่น

  • คำนวณง่ายๆ: (ยอดใช้ต่อวัน x จำนวนวันรอของ) + กล่องสำรองฉุกเฉิน
  • จากตัวอย่าง: (100 กล่อง/วัน x 3 วัน) + 200 กล่อง = 300 + 200 = 500 กล่อง

ดังนั้น เมื่อสต็อกกล่องใส่อาหารพลาสติกเหลือ 500 ใบ ควรทำการสั่งซื้อใหม่ทันที ทั้งหมดนี้ การวางแผนสต็อกกล่องแบบใช้แล้วทิ้งที่ดีจะช่วยให้ร้านของดำเนินงานได้แบบไม่ติดขัด เรื่องภาชนะใส่อาหารขายให้กับลูกค้า ไม่ขาดแคลนในช่วงเวลาพีค และบริหารต้นทุนได้อย่างดี ยอดขายไม่สะดุดกับเรื่องน่าปวดหัวอย่างเช่นกล่องไม่พอขาย ฯลฯ

 

ดู กล่องใส่อาหารพลาสติก จากศรีไทย ที่นี่

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสาร